เป็นครั้งที่ 3 สำหรับการมาวิ่งงาน Ultra Trail Unseen Kohchang โดยสองครั้งที่ผ่านมาลงวิ่งระยะ 34 กิโลเมตร ส่วนครั้งนี้ลองมาลงระยะ 70 กิโลเมตรดูบ้าง ว่าจะรอดหรือไม่ ?
มาดูก่อนว่าเส้นทางวิ่งเป็นอย่างไรบ้าง ?
กับความชันสะสม ที่บอกเลยว่า ตัวเลขมันหลอกมาก ๆ ?
ถึงแม้ว่าความชันสะสมจะไม่มากนัก แต่ของจริงนั้น ขึ้นลงชัดสุด ๆ ไม่มีลีลาอะไรเลย
มาวิ่งกันดีกว่า เริ่มออกวิ่งวันเสาร์ เวลา 16.00 น.
อากาศกำลังดีเลย ยังไม่วิ่งเหงื่อออกเยอะมาก !! โดยช่วงแรกจะเป็นการวิ่งบนถนนไปประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนไปถึง SP 1 สำหรับเติมน้ำ ก่อนขึ้นเขาลูกแรกอันโหดร้าย ช่วงนี้ก็รีบวิ่งไปกัน ยังมีแรง
จำได้ว่าครั้งที่ผ่านมา ทางขึ้นเขาแคบมาก ๆ แซงไม่ได้ ต้องต่อคิวขึ้นเขา เลยวิ่งกันเร็วมาก ๆ ก็เลยขอตามตูดแบบไกล ๆ ไปด้วย ด้วย pace เฉลี่ยตามรูป วิ่งไปกันได้ไงหว่า ?
หลังจากนั้นก็ขึ้นเขากันเลย
ความสนุกของเขาแรกนั้นคือ หิน ต้นไม้ขวาง รากไม้ เถาวัลย์ อีกอย่างความดิบของป่า (เหมือนกันทุกเขา !!) แถมความร้อนจากหินบนภูเขาออกมาเยอะเลย วิ่งไปเหงื่อไหลเป็นทาง แต่ยังมีแรงอยู่ก็วิ่ง ๆ เดิน ๆ กระโดดไปเรื่อย ๆ
ความโหดร้ายมันเริ่มจาก SP2 ออกไปหาดหวายแฉกนี่แหละ
ถ้าระยะ 34 กิโลเมตรจะเลี้ยวซ้ายมือ ส่วน 70 และ 100 กิโลเมตรแล้วขวามือ แค่เพียงแล้วขวามือเท่านั้น ปีนเขาชัน ๆ ยาว ๆ ทันที ช่วงขาปีนขึ้นใช้เวลาเฉลี่ย pace 16-20 กันไปเลย !!
ที่สำคัญยังคงมีความรก รากไม้ เถาวัลย์เช่นเดิม กว่าจะดันขึ้นไปได้ แถมช่วงขาลงก็ลงกันจริงจังมาก ๆ ช่วงนี้ก็ร่างกายยังดี ไปได้เรื่อย ๆ แต่ก็วิ่งและเดินในที่มืดเพราะว่าก็เข้าสู่ช่วงค่ำ ๆ แล้ว ส่วนอากาศแทนที่จะเย็น กลับยังคงร้อนๆ อยู่พอควร แต่พอไปได้
เดินสลับวิ่งมาจนถึง SP3 ที่หาดหวายแฉก
ได้กินน้ำมะพร้าวหอมหวาน อร่อยมาก ๆ (ไม่เจอ pretty นะ -|-) ตรงนี้ขอกินแบบไม่ยั้งเลย กินให้หายอยากไปเลย กับพักเหนื่อยนิดหน่อย ระยะได้ 20 กิโลเมตร
ก็เริ่มออกวิ่งกลับไปยัง SP2
เป็นช่วงนี้สั้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นถนนราดยางขึ้นไปชันนิดหน่อย ระยะประมาณ 5 กิโลเมตร มาถึงตรงนี้ก็พักเติมน้ำให้เต็ม นวดขาที่ตึง ๆ นิดหน่อย ของกินเพียบ ทั้งกล้วย แตงโม น้ำเย็น น้ำแดง น้ำอัดลม ขนม ปีโป้ จะเยอะไปไหน จากนั้นก็ไปต่อที่ SP4
จำได้ว่าส่วน SP4 นั้นช่วงแรกเป็นสวนยางวิ่งกันชิว
แต่ก็เจอหลายคนหลงทางเหมือนกัน เลยเริ่มกันไปเป็นกลุ่ม ก่อนที่จะปีนเขาชันแบบนรกมาก ๆ จำนวน 2 ยอด !! เป็นเขาที่โหดร้ายมาก ๆ วิ่งไม่ได้เลย ทำได้แค่พยายามเดินอย่าหยุด แต่เจอทางขึ้นแบบชัน ๆ หน้าตั้งขึ้นไปตลอด ช่วงนี้หัวใจเต้นแรงมาก ๆ เดินนับก้าวแล้วหยุดพักตลอดทาง ยืนพิงต้นไม้ตรงทางขึ้นบ่อยมาก ๆ
เมื่อได้ยินหลาย ๆ คนตะโกนในป่าเมื่อไร เลยคิดว่าเป็นสัญญาณบอกว่า ถึงยอดแล้วแน่ ๆ แต่ไม่ใช่เลย กลับบอกมาว่า ยังมีขึ้นต่ออีก เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ !! มีบางช่วง pace 20-30 กันไปเลย จนไปถึง SP4 ได้ระยะรวมไป 33 กิโลเมตรละ มีการตรวจอุปกรณ์บังคับด้วยนะ !!
อุตส่าห์เอาไม้โพลไปด้วย แต่ยังไม่ได้ใช้เลย แต่ช่วงนี้ขาเริ่มตึงหนักขึ้น เลยพักนานหน่อย เพื่อพักขา นวดขากันอยู่พักใหญ่ แต่นั่งนาน ๆ เริ่มเย็น ๆ นั่นบ่งบอกว่าอาการไม่ดีละ ต้องออกวิ่งได้แล้ว
ในช่วงไป SP5 นี้ พบว่าเจอเขาสูงและชันมาก ๆ
มีทั้งต้นไม้เยอะ เถาวัลย์เยอะ ชันมากจนมีเชือกให้ปีนขึ้นและลง บางช่วงผมต้องเอาไม้โพลมาใช้งานบ้าง แต่พบว่าสนามนี้ไม่เหมาะที่จะใช้เลย ช่วงนี้เดินเยอะมาก ๆ ส่วนคนวิ่งอื่น ๆ เริ่มกระจายกันไป พบว่าผมเดินอยู่คนเดียว จนคิดว่า เขารีบไปไหนกันนะ ?
แต่พอมาถึง SP5 พบว่า นักวิ่งกองกันอยู่ที่นี่เพียบเลย
มีทั้งคนที่ DNF แล้ว ซึ่งคลุมผ้าห่มฉุกเฉินอยู่ มีทั้งคนที่มานั่งพักกาย ทำใจ พักผ่อน นอน เติมพลัง คนดูแล SP บอกว่า นักวิ่งมาถึงตรงนี้ 77 คนละ คิดในใจแล้วที่ออกมาพร้อมกัน 200 คน ไปไหนกันหมดละ ? ตรงนี้เข้าก่อนเวลา cutoff ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิดจะถึง SP นี้ประมาณ ตี 2-3 แน่นอน ถามว่าง่วงไหม ตอบเลยว่าไม่เลย กำลังตื่นตัวเลย !!
ก่อนที่จะเข้าป่าไปอีกประมาณ 12 กิโลเมตร (ระยะรวม 52 กิโลเมตร) เพื่อไปยัง SP ต่อไปที่น้ำตกธารมะยม ซึ่งเป็น SP ที่นักวิ่งจะไปฝากของไว้ ถือว่าเป็นระยะที่ยาวไกลมาก ๆ
มาถึงตรงนี้ผมก็หาของร้อน ๆ กินหน่อย
นั่นคือต้มจับช่ายกับข้าวสวย เลยได้เป็นข้าวต้มร้อนกินนิดหน่อย กินไม่ค่อยลงเท่าไร แต่ต้องฝืนกิน กับเติมน้ำ น้ำแดง เกลือแร่ให้เต็ม เพื่อเตรียมตัวไปต่อ ช่วงนี้นักวิ่งยิ่งกระจัดกระจายมาก ๆ แน่นอนว่า ทางวิ่งรกชัดมาก ๆ แถมชันแน่นอน เดินไปกันยาว ๆ ในช่วงนี้จะมีเจ้าหน้าที่อุทยานมาคอยดูแลเป็นช่วง ๆ บางคนอาจจะตกใจได้ เพราะว่าผูกแปลนอนอยู่ ทางวิ่งก็สนุกกันเลยต้นไม้เยอะจัด ดังรูป ต้นไม้ใหญ่ไปไหน ? ปีนกันไปตลอดทาง
ออกจากป่าตอนเช้าคือ 6 โมงเช้าพอดีเลย
นั่นแสดงว่าช่วงนี้เดินไปประมาณ 3-4 ชั่วโมงนั่นเอง ช่วงนี้เดินหนักมาก ๆ ช้ามาก ๆ ไว้ปรับปรุงใหม่ ออกมาเจอวิวแบบนี้
เมื่อเจอแสงแดด อาการง่วงเริ่มมาแล้วสิ เลยรีบลงเขาเข้าไปยัง SP6 ซึ่งระยะรวมก็มาถึง 51 กิโลเมตรแล้ว
เหลืออีก 20 กิโลเมตร เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายเลย แถมตะคริวเหมือนจะมาเยือน !!!
เมื่อเข้า SP6 แล้วก็ทำการเปลี่ยนถุงเท้า เก็บของที่ไม่จำเป็นสำหรับการวิ่งบนถนนใส่กระเป๋า เข้าห้องน้ำล้างตัวสักรอบ เพราะว่าอาการง่วงเริ่มมาเยือน เจอน้ำเย็น ๆ ไปตื่นตัวขึ้นเยอะ นวดขาที่ตึง ๆ จากบนเขาอีกรอบ เติมพลังให้เต็ม จากนั้นออกวิ่งเบา ๆ ตามถนนไปเรื่อย ๆ วิ่งได้ประมาณ 5 กิโลเมตร แบบชิว ๆ pace 8-12 ได้
แต่เมื่อต้องเลี้ยวซ้ายขึ้นเขาแถว Flukie's house
คำถามแรกคือ ทำไมต้องเลี้ยวเข้าไปละเนี่ย ? ก็วิ่งไป ขึ้นเข้านิดหน่อย ไม่มีอะไรมาก ต้นไม้เยอะ ไม่ค่อยมีทางวิ่งเท่าไร ไม่ค่อยชันเท่าไร แต่ highlight คือ การเดินลงน้ำตกที่ไม่มีน้ำ !! มีแต่หินนี่แหละ ถ้าก้าวพลาด มีได้เจ็บแน่นอน เดินตามน้ำตกลงมากเรื่อย ๆ จนถึงริมทะเล บวกกับอากาศช่วงประมาณ 9-10 โมงเช้าที่ร้อนสุด ๆ บวกกับแสดงสะท้อนกับน้ำทะเลและหิน มันสุด ๆ ไปเลย !! เดินกันยับช่วงนี้ วนเขาริมทะเลไปเรื่อย ๆ
จนออกถนนไปเจอ SP7
เพื่อกินข้าวเช้ากัน รวมระยะได้ 61 กิโลเมตร เหลืออีก 9 กิโลเมตรเท่านั้น (cutoff 4 โมงเย็น โน้น ชิว ๆ)
ตรงนี้เจอพิษของป่า หิน แสงแดด ริมทะเลเข้าไป ร่างกายที่แย่ลงไปมาก ๆ จะกินข้าวก็กินไม่ค่อยลง กินได้แต่น้ำต้มพะโล้ แต่ได้ไอติมร้านข้าง ๆ SP ไป 1 แท่ง ทำให้พลังกลับมาเยอะพอควร
เหลืออีกแค่ 9 กิโลเมตรไปกันต่อเลย
ต้องไป SP8 ก่อน ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นช่วงสั้น ๆ บนถนน แต่เต็มไปด้วยแสงแดดอันร้อนแรง เดินอย่างเดียวเลย เป็นการเดินประมาณ pace 10 ได้ น้ำที่เทราดตัวมาก่อนออกจาก SP ระเหยหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็พยายามเดินให้เร็วที่สุด แน่นอนว่า ลองวิ่งเบา ๆ บ้างสลับกันไปนิดหน่อย
พอมาถึง SP8 ก็เจอนักวิ่งระยะ 100 กิโลเมตรกำลังเข้าเยอะเหมือนกัน
ส่วนใหญ่ก็มานั่งพัก เติมพลังก่อนวิ่งเข้าป่าอีก 5 กิโลเมตรก่อนเข้าเส้นชัย ป่าช่วงนี้ไม่ค่อยยากเท่าไร รกหน่อย แต่ไม่ชันมาก แต่ด้วยที่เป็นช่วงใกล้เที่ยงวันแล้ว ทำให้ไม่ค่อยอยากวิ่งเท่าไร แถมตะคริวเหมือนจะมาด้วย ก็เลยลองกระโดดข้ามต้นไม้หน่อยว่าตะคริวจะมาไหม ? ผลคือ มาสิครับ เกือบเอาไม่ลง แต่ก็พยายามกดและเอาตระคริวลงไปได้ จากนั้นก็ไม่กระโดดหรือเกร็งตอนข้ามต้นไม้อีกเลย ตัดสินใจค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ
เมื่อออกจากป่าเจอทางโล่ง ๆ เหมือนจะวิ่งได้
เจอแสงแดดเข้าไป ไม่อยากวิ่งเลย แต่มาถึงตรงนี้แล้ววิ่งสักหน่อยก็แล้วกัน ก็เลยวิ่งเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงถนนของหมู่บ้านที่จัดงาน นั่นหมายความว่า เรามาถึงเส้นชัยแล้ว ก็แวะกินน้ำมะพร้าวหน้าวัดนิดหน่อย จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินและวิ่งเข้าเส้นชัย
ในช่วง 5 กิโลสุดท้ายไปเกือบชั่วโมงครึ่ง เดินกันยับเลย !!
หลังจากการวิ่งมา 70 กิโลเมตร พบว่าร่างกายไม่เจ็บมากเท่าไร ส่วนการฟื้นตัวก็ดีขึ้นพอสมควร ส่วนความโหดของสนามที่เกาะช้าง มันโหดจริง ๆ ดิบสมชื่อมาก ๆ
โดยรวมชอบเลยครับ ต้องฝึกซ้อมให้ดีกว่านี้ คิดว่าน่าจะวิ่งไว้สนุกและดีกว่านี้ เวลารวมทั้งหมดจัดไป 20 ชั่วโมง 15 นาที !!