ในกลุ่มนั่งวิ่ง trail บอกว่า วิ่ง 100 กิโลเมตร สามารถวิ่งได้หลายครั้ง แต่การวิ่ง 100 กิโลเมตร ครั้งแรก มีได้เพียงแค่ครั้งเดียว จึงทำการสรุปประสบการณ์ที่เจอด้วยตนเองไว้นิดหน่อย โดยสนามที่เลือกคือ โป่งแยง (PYT :: Pong Yaeng Trail) มาเริ่มกันเลย
สรุปผลการวิ่งกันก่อน
ระยะทางจากทางสนามคือ 109.8 กิโลเมตร ความชันสะสมขาขึ้น 5,220 เมตร ความชันสะสมขาลง 5,010 เมตร ใช้เวลาวิ่งไปทั้งหมด 25 ชั่วโมง 22 นาที 45 วินาที เริ่มวิ่งประมาณตี 4.15 จนเข้าเส้นชัย ตี 5.38 ของอีกวัน
ข้อมูลจากนาฬิกาที่ใส่วิ่ง
Gain จากนาฬิกามันมั่ว ระยะก็มากกว่าความเป็นจริง
Zone ที่วิ่ง
ผลการแข่ง
บันทึกในแต่ละ station ของการวิ่ง เขียนเท่าที่จำได้
1. Start ไปถึง A0 แม่ขิ
เริ่มต้นวิ่งเวลาตี 4.15 อยู่ใน block B ออกมาจากจุด Start ก็เป็นทางถนนปูนยาวไป ความชันไม่มากนัก แต่ยาวไปเรื่อย ๆ วิ่งท่ามกลางความมืด ก็สนุกดี ได้ warmup กล้ามเนื้อไปในตัว ในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มวิ่ง รู้สึกว่าขาตึงนิดหน่อย เลยวิ่งเบา ๆ ไป ช่วงนี้เพื่อนนักวิ่ง วิ่งเกาะกลุ่มใหญ่กันไปเรื่อย พอเข้าถึง A0 แม่ขิ อยู่ก่อนเข้าทาง trail จริง ๆ ที่เป็นป่าแล้ว ถึงตรงนี้ขาที่ตึงหายไปหมดแล้ว นั่นแสดงว่า น่าจะ warm up มาไม่ดี แวะล้างหน้า เติมน้ำนิดหน่อย ก็วิ่งต่อกันเลย มาถึงตรงนี้ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง กับระยะ 13 กิโลเมตร ถือว่าใช้ได้เลย
2. A0 แม่ขิ ถึง A8 แม่ปะ
เข้าป่ากันแล้ว โดยในช่วงนี้ยอมรับเลยว่า เริ่มมีอาการง่วงมารบกวน ใจนึงก็อยากนอน บางช่วงลองหลับตาวิ่งก็มี ทางไม่ชันมาก พอได้วิ่งเบา ๆ บ้าง วิ่งไปสักพักเอาน้ำลาดหัวเพื่อให้ตื่นหน่อย กับบางครั้งต้องลองวิ่งเร็ว ๆ ขึ้นมานิดหน่อย เพื่อให้กระตุ้นตัวเองไปเรื่อย สภาพร่างกายตอนนี้ถือว่า ไม่มีอะไรมารบกวน ยกเว้นอาการง่วง !! ก็เลยไปเรื่อย ๆ ใครอยากแซงก็แซงไป ตอนลงนี่ก็หยอดลงเดินเบา ๆ ไปเลย เพราะว่ายังอยู่ในช่วงมืดอยู่ เป้าหมายคือ จบแบบไม่เจ็บ
พอออกจากป่าก็เข้าถึงหมู่บ้านเพื่อเข้าไป A8 แม่ปะ ช่วงนี้ระยะ 10 กิโลเมตร แต่ใช้ไป 2 ชั่วโมง เข้ามา A8 ฟ้าก็สว่างแล้ว ได้กินน้ำร้อน ๆ แต่มีแต่กาแฟ เลยกินได้แค่น้ำร้อน กับข้าวราดแกงจืด จัดว่าอร่อยเลย รวมกับได้กินข้าวต้มมัดด้วย อร่อยมาก ๆ ใน A8 อยู่นานนิดหน่อย เพราะว่าง่วง และ เริ่มหิว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ไปต่อกัน เป้าหมายอีกอย่างที่ต้องการปรับปรุงคือ อยู่ในแต่ละ station ให้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่รีบเร่งมาก
3. A8 แม่ปะ ถึง W1 (Water station)
ช่วงนี้ไม่มีอะไรมาก ทางไม่ยาก เหมือนวิ่งให้อาหารย่อยมากกว่า รวมทั้งเป็นช่วงเช้า ๆ ด้วย ร่างกายเพิ่งตื่นตัว กับระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 1.10 ชั่วโมง เมื่อถึง W1 ก็ล้างหน้าล้างตานิดหน่อย แล้วไปต่อเลยต่อจากนี้ได้ดึงไม้เท้าเอามาใช้แล้ว !! ซึ่งใช้ตลอดจนจบ
4. W1 (Water station) ถึง A9 สะเมิง
ช่วงนี้จัดว่า drama ใช้ได้เลย ทางเริ่มยาก แดดก็ออก วิ่งกันไปบ่นกันไป ลืมบอกว่าเริ่มหากลุ่มคนที่วิ่งไปด้วยกันได้ คือ วิ่งที่ความเร็วใกล้ ๆ กัน มันสนุกกว่าวิ่งคนเดียวมาก ๆ แต่ช่วงนี้ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามรูปแบบของสนามเลย หลาย ๆ คนขาพลิก เจ็บ ITB กันเพียบ เจ็บเท้า ที่สำคัญคือ ที่ A9 เป็น station ใหญ่ หลาย ๆ คนพร้อมใจกับ DNF เพียบรู้สึกได้เลยว่า station นี้ไม่ควรอยู่นาน เพราะว่า ยิ่งอยู่นาน ใจมันเริ่มห่อเหี่ยว
ลืมบอกไปว่า สิ่งที่อร่อยมาก ๆ ในทุกstation คือ ส้มเขียวหวาน ขอบอกว่า มันสุดยอดมาก ๆ กินเวลาง่วง กินเวลาเหนื่อย กินเวลาท้อ มันช่วยได้เยอะมาก ๆ
จากนั้นก็เติมน้ำให้เต็มก่อนออกไป W2 ช่วงนี้ระยะประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง ขาเริ่มตึง ๆ ขึ้นมา จึงทำการยืดเหยียด และทายานวดนิดหน่อย ที่ station นี้มีถังไอติมให้ตักเองด้วย แต่ยังไม่ค่อยอร่อยเท่าไร
5. A9 สะเมิง ถึง W2 (Water station)
หลังจากหนีความหดหู่ที่ A9 ออกมาประมาณ 1 กิโลเมตร ก็ได้เวลาขึ้นเขากันอีกแล้ว เป็นทางปูนสลับกับลูกรังไปเรื่อย ๆ ความ peak ของทางช่วงนี้คือ แดด และ ความชันที่มันขึ้นไปเรื่อย แถมมีหลายช่วงที่ชันมาก และ ยาวมาก ๆ วนไปเรื่อย ๆ
เส้นทางมีความโหดร้าย ระดับบ่นกันว่า เมื่อไรมันจะถึง W2 !!
ทำได้อย่างเดียวคือ เดินเร็ว กับ ค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้า พยายามหาคนที่เดินเก่ง ๆ เพื่อเดินตาม เจอฝรั่งคนนึง เดินเก่งมาก ๆ เดิมตามยังไงก็ไม่ทันสักที แต่ก็ทำให้เราลืมความชันไปได้สักพัก เพราะว่า ตั้งเป้าระยะสั้นว่า จะไปให้ใกล้เขามากที่สุด ผ่านไปสักพัก แซงเขาไปซะงั้น จากนั้นก็หาคนเกาะไปเรื่อย ๆต่อมาเริ่มนับจำนวนก้าวแล้ว เพื่อให้ตัวเองมีสมาธิกับการก้าวไปข้างหน้า มากกว่าเสียเวลามาหยุดยืนบ่นไปเรื่อย ๆ เพราะว่า เคยคุยกับพี่ ๆ ในสนามวิ่งบอกว่า ถ้ามันเหนื่อยมาก ก็ให้ช้าลง ถ้าหายเหนื่อย ก็เร็วขึ้น อย่าไปหยุดบ่น ยิ่งเราเดินไปเรื่อย เป้าหมายมันก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ นั่นเอง ไม่ต้องถามว่าเหลือระยะอีกเท่าไร เพราะว่า เมื่อมันถึงก็ได้หยุดเอง ช่วงนี้ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 2.17 ชั่วโมง
6. W2 (Water station) ถึง A10 กองแหะ
ที่ station นี้เป็นจุดที่คนน้อยกว่าที่ A9 มาก หลาย ๆ คนเริ่มเหนื่อย ท้อ และ ท้อมาก ทำได้แต่นั่งคุย ให้กำลังใจกันไปต่อ มีคนมาถึงไม่ทำอะไรเลย เดินมาของ DNF เลย แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ให้นั่งพักก่อน ใจเย็น ๆ แต่นักวิ่งคนนั้นบอกว่า เจ็บมาก ๆ ไม่ไหวแล้ว ให้เพื่อนขับรถมารับแล้ว ทางเจ้าหน้าที่เลยให้ DNF ไป !! ถ้าวิ่งไม่สนุกแล้ว ไปต่อมันก็ยาก ต้องเคารพการตัดสินใจ
ส่วนผมก็ขอทำธุระกับเติมพลัง เพื่อไปต่อดีกว่า ก่อนออกมามีรถขายไอติมไผ่ทองมาด้วย เลยซื้อไป 1 ชิ้น อร่อยมาก ๆ เดินออกจาก station ด้วยไอติมแสนอร่อย แต่ว่า เดินไปได้สักพักก็ขึ้นเนินชัน ๆ กับ วิวสวย ๆ ที่กินมาเมื่อกี้ หมดไปโดยทันที !! เป็นเส้นทางที่ปีที่แล้วเคยมาที่เป็นขาเดียว แต่ปีนี้วิ่ง 100 กิโลเมตร ต้องวิ่งไปกลับ ขอบอกว่าโหดร้ายมาก ๆ ขึ้นสุดลงสุดไม่ต่ำกว่า 6 เนินชัน ๆ เป็นทางปูนครึ่งทาง เป็นทางป่าอีกครึ่งระยะเพียง 8 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง โดยใน station นี้จะมี drop bag หรือถุงใส่ของให้เปลี่ยนได้ แต่ผมไม่ได้ใช้เลย เพราะว่าไม่รู้จะใช้อะไร ก็เลยหากินของร้อน ๆ เช่น มาม่า และ น้ำซุป จากนั้นก็เติมน้ำ นวดขา แล้วก็ไปต่อดีกว่า หนทางข้างหน้ายังอีกไกลและยาก อะไรที่ลงมายาว ๆ ก็ต้องขึ้นยาว ๆ เช่นกัน ช่วงนี้เริ่มสวนกับนั่งวิ่ง 100 กิโลเมตรเยอะเลย ก็ให้กำลังใจกันต่อไปทั้งสองฝ่าย
7. A10 กองแหะ ถึง A11 แม่ขนิลเหนือ
ช่วงนี้ความท้อมีเข้ามาเยอะมาก ๆ แต่ก็ก้มหน้าก้มตาเดินยาว ๆ ไป พร้อมกับตรงไหนพอวิ่งได้ก็วิ่งเบา ๆ ไป เริ่มมีเพื่อน ๆ วิ่งด้วยบ้าง แซงไปบ้าง โดนแซงไปบ้าง ซึ่งเราก็ยินดี เพราะว่าระยะมันอีกไกล ต้องประคองตัวให้ร่างกายไม่เจ็บมาก
ช่วงนี้จัดว่ายาวมาก ๆ กว่า 17 กิโลเมตร ใช้เวลาไปกว่า 4 ชั่วโมง เนื่องจากขาลงทางลื่นใช้ได้เลย และอีกอย่างความมืดกลับมาอีกครั้ง นั่นหมายความว่า วิ่งมาแล้วไม่ต่ำกว่า 13-14 ชั่วโมงจากตอนเริ่มต้น ถามว่าง่วงไหม ตอบเลยว่าไม่ !! มันเหนื่อยจนไม่มีเวลามาง่วง
8. A11 แม่ขนิลเหนือ ถึง A12 นิลประภา
ช่วงนี้เป็นที่รู็กันว่ามันคือ ช่วงแม่น้ำร้อยสาย เคยวิ่งแต่ตอนกลางวัน ไม่รู้ว่าตอนกลางคืนเป็นอย่างไร จะได้รู้กันก็ครั้งนี้ ช่วงนี้มี buddy วิ่งด้วยแล้ว เพราะว่าแอบเกาะเขามาตั้งแต่ช่วงมืด ๆ จากนั้นก็เดิน เดินวิ่งสลับวิ่งช้า ๆ ตามมาห่าง ๆ ทำให้การวิ่งสนุกขึ้นเยอะพอมาถึงน้ำเท่านั้นแหละ ทุกอย่างเย็นไปหมด ตอนแรก ๆ ก็สนุกนะ แต่พอลงน้ำเยอะ ๆ เท้าเริ่มตึง เริ่มเจ็บ ก็เลยค่อย ๆ เดินไป ช่วงนี้เจอพี่ ๆ ที่วิ่ง 166 กิโลเมตรกันเรื่อย ๆ แต่ได้ลงนำ ล้างตัวไป ก็ทำให้ลืมความเหนื่อยไปเหมือนกัน แต่เตือนกับตัวเองตลอดว่า อย่าลืมกินน้ำทุก ๆ กิโลเมตร อย่าลืมเติมเหลือทุก ๆ 30 นาที ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ช่วยทำให้ระบบร่างกายไม่รวนมากช่วงนี้ระยะทางเพียง 10 กิโลเมตร ใช้เวลาไปกว่า 3 ชั่วโมง นั่นบ่งบอกว่า สภาพร่างกายเริ่มแย่ลงแล้ว ขาเริ่มตึงมากขึ้น ก็เลยต้องนวด ต้องนวด ต้องยืดขาอีก กับกินของร้อน ๆ อีกเช่นเคย แต่ก็ยังคงรักษาเวลาในการเข้า station ไม่ให้อยู่นาน เพราะว่าอากาศเริ่มเย็นลงมาแล้ว
9. A12 นิลประภา ถึง A13 ตาดครก
พอออกจาก A12 ได้ไม่เท่าไร ก็ขึ้นอีกแล้ว มันขึ้น แล้วก็ขึ้น แล้วก็ขึ้น แล้วก็ขึ้น จำได้อย่างเดียวว่า ค่อย ๆ เดินไป ค่อย ๆ เดินไป นับก้าวไป 1 2 3 4 5 แบบช้า ๆ ใช้ไม้เท้าช่วยดันไปข้างหน้า ไม่ต้องสนใจว่าจะชัน หรือ ไกลเพียงใด ก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ พอถึงทางราบก็เดินเร็ว ถึงตรงนี้ไม่ค่อยกล้าวิ่งแล้ว เพราะว่า ทางไม่ชินเลย แต่รู้สึกได้ว่า ตัวเองไปได้เร็วขึ้น กับสภาพร่างกายที่ยัง ok อยู่ช่วงนี้ระยะทางเพียง 8.5 กิโลเมตร ใช้เวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง ลืมบอกไปว่า ช่วงนี้ผมทิ้ง buddy ที่วิ่งมาด้วยกัน 1 ช่วงแล้ว เพราะว่า ผมเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวช่วงขึ้นเขา พอหันมาข้างหลังแล้วไม่เห็นใคร ผมเลยเดินไปข้างหน้าต่อเลย ต้องขออภัยด้วยครับ ช่วงนั้นกำลัง focus กับการเดินไปข้างหน้าอย่างมากพอลงมาถึงถนนในหมู่บ้านที่เป็นถนนลาดยาง ก็พอวิ่งเบา ๆ เพื่อเข้า A13 ตอนนี้เวลาเป็นอย่างไร กี่ทุ่มกี่โมง ไม่สนใจแล้ว สนใจอย่างเดียวคือ ไปข้างหน้า เพื่อให้ถึง station ถัดไปเท่านั้นเอง แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ผ่านมากกว่า 90 กิโลเมตร ก็ต้องพักและเติมน้ำนิดหน่อย
จุดนี้ออกมาจากหมู่บ้านนิดหน่อย เป็น station ที่ใช้เวลาอยู่น้อยที่สุดแล้ว เพราะว่า ใจอยากจะไปให้ถึงเร็ว ๆ แล้ว อีกอย่างใน station บอกว่า อันดับที่ 91 เพิ่งออกไป ตอนนี้มีโอกาสติด Top 100 คนนะ ได้ยินก็เข้า mode แข่งขัน เอาวะ ลองหน่อยสิ จะไปได้ไกลเท่าไร ?สูดหายใจยาว ๆ สักหน่อย แล้วบอกกับตัวเองว่า ไปต่อกัน ถ้ากายกับใจมันไปด้วยกันได้ ก็ไปต่อได้...
10. A13 ตาดครก ถึง W3 (Water station)
พอออกมาจาก station ก็ขึ้น และ ขึ้น และ ขึ้นยาวมาก ๆ ไม่ชันมาก แต่มันยาวมาก ๆ ตรงนี้ไม่คิดอะไรเลย เดินเร็วไปข้างหน้า ไม่สนใจอะไรเลย ซึ่งทางมันคุ้นมาก ๆ เหมือนเคยวิ่งมาก่อน เลยทำให้พอรู้ว่า ทางจะเป็นอย่างไร แต่ว่าช่วงนี้วิ่งคนเดียวเลย นาน ๆ จะไปเจอนักวิ่งคนอื่นบ้าง ฟ้าก็มืด ได้ยินเสียงทุกอย่าง ทำได้อย่างเดียวคือ มีสมาธิ สงบจิตใจ แล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้า อย่าไปคิดอะไรให้มากนัก เป็นช่วงการวิ่งที่อยู่กับตัวเองนานที่สุดแล้ว
ช่วงนี้ระยะทางเพียง 8.5 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง ซึ่งถือว่า ok เลย ก่อนถึง W3 มีรถชาวบ้านมาขายน้ำดื่มเย็น ๆ ด้วย เลยจัดไปสักหน่อย ร่างกายสดชื่นขึ้นมามากมาย พอมาถึง W3 นักวิ่งเริ่มเบาบาง บางคนนอนหลับที่นี่เลย สำหรับผมก็เช่นเคย ใช้เวลาใน station ให้น้อย เติมน้ำ นวดขาแล้วออกไปเลย แต่ถึงตรงนี้ การนวดขาไม่ช่วยอะไร แค่ยืนเฉย ๆ มันเริ่มชาแล้ว ดังนั้นขยับตัวดีกว่า ไปต่อกันเลย เพื่อเข้าเส้นชัย กับระยะที่แถมกว่า 9 กิโลเมตร !!!
11. W3 (Water station) ถึง Finish ลานผานกกก
เมื่อถึง W3 คิดว่าที่ผ่านมายากแล้ว ทางที่เหลือ 9 กิโลเมตรสุดท้ายยิ่งโหดกว่า !! เพราะว่า เป็นทางปูน สลับกับทางปูนพัง ๆ ที่ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น และขึ้น ขึ้น ขึ้น อย่างเดียว ขึ้นจนท้อ แต่ก็ไม่หยุดนะ พยายามเดินช้า ๆ พร้อมไม้เท้าดันไปเรื่อย ๆ
มาถึงตรงนี้ จุดนี้ ไม่ได้วิ่งแล้ว พยายามเอาตัวเองไปข้างหน้าให้ตรงและประหยัดแรงที่สุด ช่วงแรกที่ขึ้นไม่มีกำลังใจเลย เพราะว่า อยู่คนเดียวอีกแล้ว แต่พอไปเรื่อย ๆ ก็เจอนักวิ่งในระยะเดียวกันมากขึ้น ก็เริ่มมีกำลังใจ มีเพื่อร่วมทางไปด้วย แซงบ้าง โดนแซงบ้าง ไปเรื่อย ๆ พอขึ้นไปสุด ๆ แล้ว !!! ความ peak มันยังไม่จบ เพราะว่าที่ขึ้นมาที่ว่าชันแล้วนั้น ตอนลงมันชันยิ่งกว่า แถมลงแบบยาว ๆ ถ้าใครที่ขามีปัญหา ขอบอกเลยว่า ได้หย่อนลงกันมาแน่ ๆ
ส่วนผมก็ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ วิ่งเบา ๆ ตอนลงก็เสียว ๆ เหมือนกันอีกอย่างคือ วิวสวยมาก ๆ เห็นไฟในตัวเมืองสวยมาก ๆ แต่ไม่มีอารมณ์หยุดถ่ายรูปเลย และยังคงลง ลง ลง ลง ลง และลง ลงไปจนถึงเส้นชัย ซึ่งขอบอกว่า peak มาก ๆ
พอถึงเส้นชัยเท่านั้นแหละ
ทุกอย่างที่เราซ้อมมา เตรียมมา มันช่วยทำให้เราถึงเส้นชัย สามารถวิ่ง trail 100 กิโลเมตรแรกได้แล้ว โดยใช้เวลาไปทั้งหมด 25 ชั่วโมง 22 นาที 45 วินาที
แต่สิ่งที่ peak ใน peak อีกคือ ต้องขึ้นไปรับเหรียญ ยังต้องขึ้นเนินชัน ๆ ไปรับเหรียญอีก สุดจริง ๆ บอกเลย ++
แต่เป็นความยากลำบากที่มีความสุข
ไม่ได้คิดว่า เรามาวิ่ง 100 กิโลเมตร แต่ค่อย ๆ ไปทีละ station บางครั้งก็มี mode ชิว ๆ บางครั้งก็มี mode งอแงกับตัวเอง บางครั้งก็มี mode การแข่งขัน มันแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ได้อยู่กับตัวเอง พากายและใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ฝืนหรือขัดแย้งกัน
ซึ่งน่าจะเป็นรางวัลที่ได้จากการซ้อม
ซ้อมอย่างไร ก็วิ่งอย่างนั้น ไม่มีเขาลูกไหน สูงกว่าเขาในใจเรา ถ้าเราซ้อมมานะ !! ไปให้ใกล้เป้าหมายให้ได้มากที่สุด แล้วเราจะถึงเป้าหมายนั้นเอง
รูปในงานออกมาแล้ว